Leave the World Behind ภาพยนตร์ระทึกขวัญที่ออกฉายทาง Netflix ผลงานกำกับจาก Sam Esmail ซึ่งเป็นเรื่องที่ดัดแปลงจากนิยายจากผู้เขียนอย่าง Rumaan Alam โดยได้เล่าเรื่องราวของสองครอบครัวที่บังเอิญมาพบกันในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่แล้วดันเกิดสิ่งไม่คาดคิดขึ้น เมื่อสัญญาณโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ตใช้งานไม่ได้ทั่วโลก และกำลังจะรู้ตัวแล้วว่าโลกนั้นได้มาถึงวันแห่งภัยวินาศ
หนังได้เล่าจากฉากที่ครอบครัวของ เจนนิเฟอร์ แมคเคนน่า และพอล แมคเคนน่า กับลูกสาววัย 12 ขวบอย่าง เบ็น และครอบครัวที่สองจาก ชิพ วอลเลซและ แมรี วอลเลซ กับ เพจ ลูกสาววัย 10 ขวบ เพจ โดยที่ครอบครัวแมคเคนได้น่าเดินทางมาพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศริมทะเลแห่งหนึ่งในรัฐฟลอริดา และพบกับครอบครัววอลเลซที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ ทำให้ทั้งสองครอบครัวต่างก็รู้สึกประทับใจกันและกัน และแวะเวียนไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง
เรื่องราวปกติจนกระทั่งวันหนึ่งที่ได้เริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตใช้การไม่ได้ เครื่องบินตกบนชายหาด และเรือที่วิ่งชนเข้ากับบ้านพักตากอากาศของครอบครัวแมคเคนน่า ด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งสองครอบครัวจึงตัดสินใจออกเดินทางไปยังเมืองเพื่อหาคำตอบ กลับพบว่าเมืองต่างๆ นั้นกลับกลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว และผู้คนหายไปทั่วเมือง จนเหลือเพียงความว่างเปล่า
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งสองครอบครัวจึงต้องร่วมมือกันเพื่อเอาชีวิตรอด ทั้งการที่ต้องหาอาหารและที่พักอาศัย รวมถึงต้องเผชิญกับภัยอันตรายต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นฝูงกวางประหลาดดุร้าย หรือชายแปลกหน้าสุดปริศนา และสัญญาณเตือนภัยที่ดังก้องไปทั่วท้องฟ้าในตอนนี้ แล้วจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่ต้องมาติดตามรับชมกัน
สำหรับ Leave the World Behind นั้นต้องบอกว่าเป็นหนังไซไฟทริลเลอร์ที่ไม่ธรรมดาจริงๆ การใช้พล็อตแบบนี้อาจจะไม่ได้แปลกใหม่ก็จริง แต่การที่หยิบเอาเรื่องของการชีวิตคนรวยที่หนีไปพักผ่อนแบบแยกตัวออกจากโลกภายนอก พอกลับมาแล้วก็เจอกับโลกที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแบบนี้ก็ถือว่าทำให้มีลูกเล่นแบบใหม่น่าสนใจทีเดียว แถมยังเล่าเรื่องราวได้สนุกเข้มข้นอีกด้วย
เราจะได้เห็นคุณค่าของการอยู่ร่วมกันของครอบครัว เพราะหนังจะแสดงให้เห็นว่าเมื่อมนุษย์ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากแบบนี้ ก็จำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อเอาชีวิตรอด ก็ทำให้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวที่แน่นแฟ้น แม้จะมีความแตกต่างกันก็ตามนั่นเอง ส่วนเรื่องมู้ดโทน บรรยากาศต่างๆ นั้นก็ทำได้หลอน อึดอัดมาก ใช้มุมกล้องแบบแคบ แสงไฟสลัวด้วยแล้วทำให้รู้สึกกังวลใจตลอดทั้งเรื่องดีทีเดียว
ต้องบอกว่านี่คือหนังทริลเลอร์ที่มีความสนุกเข้มข้นน่าติดตามอีกหนึ่งเรื่อง Leave the World Behind น่าจะเหมาะกับคอหนังที่ชื่นชอบแนววันสิ้นโลก วันโลกแตก ได้ดีทีเดียว ใครชื่นชอบแนวนี้ก็ต้องลองมาติดตามรับชม แต่อาจจะมีตอนจบที่ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าค่อนข้างคลุมเคลือเกินไปหน่อย ไม่ได้เฉลยอะไรที่ชัดเจนจนรู้สึกว่าต้องมาคิดต่อไปว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไรกันแน่ เป็นการจบแบบปลายเปิดที่ไม่ค่อยรู้สึกว้าวสักเท่าไร